วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

Supply Chain Management, Customer Relationship Management and Enterprise Resource Planning

     ระบบสารสนเทศทั้งองค์การมีแนวคิดพื้นฐานสำคัญ 2 ประการ คือ การบูรณาการประยุกต์งานหลายงาน และระหว่างฝ่ายต่าง ๆ  อันทำให้เป็นระบบที่สนับสนุนหน้าที่ทางธุรกิจหลายด้านร่วมกัน และระบบการทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวก
    
     ระบบสารสนเทศจำแนกตามกระบวนการธุรกิจมีระบบที่สำคัญ ดังนี้

     ระบบจัดการห่วงโซ่อุปทาน หรือ เอสซีเอ็ม (Supply Chain Management - SCM) คือ การจัดการการบริหารห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นระบบสารสนเทศที่รองรับระบบจัดการห่วงโซ่อุปทาน ต้องการประสานและเชื่อมต่อข้อมูลจากฐานข้อมูลต่าง ๆ เพื่อจัดซื้อวัตถุดิบสำหรับสร้างสินค้าและบริการ การนำส่งลูกค้า การจัดการคลัง สินค้า และบริการหลังการขาย เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ระบบที่มีประสิทธิภาพจะสามารถลดค่าใช้จ่ายการทำงานแต่ละขั้นตอน ตามแนวคิดของห่วงโซ่คุณค่า (value chain)

    ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ ซีอาร์เอ็ม (Customer Relationship Management - CRM)  การจัดการ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ คือ การจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับลูกค้าในปัจจุบัน และลูกค้าที่คาดว่าจะมีในอนาคต เป็นการประสากระบวนการขาย การตลาดและการให้บริการทั้งหมด ดังนั้นระบบสารสนเทศที่รองรับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์รวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลในงานต่าง  ๆ  วิเคราะห์ ประเมินคุณค่าของลูกค้า ค้นหากลุ่มลูกค้า ความต้องการในสินค้าและบริการ เพื่อนำปรับปรุงให้สอดคล้องต่อไป

     ระบบวางแผนทรัพยากรขององค์การ หรือ อีอาร์พี   (Enterprise Resource Planning - ERP)  คือ การวางแผนควบคุมการปฏิบัติงานและจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในองค์การ ดังนั้นระบบสารสนเทศที่รองรับระบบวางแผนทรัพยากรทั้งองค์การต้องรวบรวมและ เชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงาน เช่น วัตถุดิบ  ทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น โดยข้อมูลเหล่านี้มาจากฐานข้อมูลต่าง ๆ   ความ สำเร็จของกระบวนการบริหารลูกค้าสัมพันธ์และห่วงโซ่อุปทานย่อมมีส่วนของการ วางแผนทรัพยากรองค์การช่วยให้องค์การวางแผนประสานงาน การจัดการทรัพยากรกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง

ประเภทของระบบสารสนเทศ

Supply Chain management : SCM

     SCM คือ กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภค โดยที่องค์การต่างๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อกันในการปรับตัวขององค์การเพื่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานนั้น สิ่งที่สำคัญ คือ เพื่อให้องค์การมีความสามารถในการบริหาร ความเติบโตของธุรกิจ และความยั่งยืนของธุรกิจ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นการดำเนินธุรกิจในยุคนี้ให้ประสบความสำเร็จ และมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างแท้จริง  องค์การไม่สามารถดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือกระทำโดยลำพังได้ เป็นแนวคิดทางด้านการบริหารห่วงโซ่อุปทานที่นับวันจะมีความสำคัญมากเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นการบริหารทางด้านการจัดการ Operation management สาขาหนึ่งนอกจากบริษัทต่างๆ ที่เน้นการสร้างยอดขายเพื่อให้ผลประกอบการของธุรกิจเติบโตขึ้น

     ทางหนึ่งที่จะช่วยให้บริษัทสามารถสร้าง Profit margin ได้ ก็คือการลดต้นทุน Supply chain Management จะมาช่วยในการลดต้นทุนที่เกิดจากสินค้าคงคลังลงได้ ดังนั้น การปรับมุมมองการดำเนินงานเข้าสู่แนวคิด SCM จึงควรมีความเข้าใจความหมายของ SCM อย่างครบถ้วนเพื่อที่จะสามารถพิจารณา และกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องและยังเป็นการบริหารวัตถุดิบ นับตั้งแต่กระบวนการจากผู้ส่งมอบวัตถุดิบ ถึงผู้ผลิต ถึงผู้กระจายสินค้าถึงตัวแทนจำหน่าย และถึงผู้บริโภคในขั้นตอนสุดท้าย การบริหารห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นการประสานกลยุทธ์การทำงานของหน่วยธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนสินค้าคงคลัง และเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้สูงสุด

กระบวนการ Supply Chain Management

     กระบวนการ Supply Chain Management หรือ SCM เป็นกระบวนการของการบริหารทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบสู่กระบวนการผลิต กระบวนการสั่งซื้อ จนกระทั่งส่งสินค้าถึงมือลูกค้าให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับสร้างระบบให้เกิดการไหลเวียนของข้อมูลที่ทำให้เกิดกระบวนการทำงานของแต่ละหน่วยงานส่งผ่านไปทั่วทั้งองค์การ การไหลเวียนของข้อมูลยังรวมไปถึงลูกค้า และผู้จัดส่งวัตถุดิบด้วย ประกอบด้วย Suppliers, Manufacturers, Distributors, Retailers, Wholesalers และ Customers
     กระบวนการ Supply Chain Management มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้องค์การยกระดับความ สามารถในการบริหาร เช่น การลดสินค้าคงคลัง การเพิ่มผลิตภาพ หรือการลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน ส่งเสริมความเติบโตของธุรกิจ เช่น การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น การเปิดตลาดใหม่ ๆ การสร้างความพอใจแก่ลูกค้ามากขึ้น ส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจ เช่น การลดต้นทุนธุรกิจ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น

แก่นสำคัญของ Supply Chain Management

                                          แม้ว่าการผลิตจะมีความซับซ้อนและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ยากต่อการควบคุม แต่หน้าที่ทางการผลิตของทุกองค์กรจะมีหลักการพื้นฐานต่างๆ เหมือนกัน สิ่งที่จะทำให้เข้าใจถึงหน้าที่ของการผลิตและวิธีการควบคุมการผลิตนั้น เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่ 2 สิ่งหลักๆ คือ
            1.วัตถุดิบ (Materials)
            2.สารสนเทศ (Information)
     การบริหารการผลิตจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อกระบวนการผลิตเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด และมีระบบที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ยิ่งมีระบบย่อยหรือแยกส่วนมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น


ภาพแสดงการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบและสารสนเทศ

ปัญหาคือความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น

- ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบและมีราคาถูก
- พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คำสั่งที่ถูกต้อง
- ฝ่ายจัดซื้อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
- ผู้จำหน่ายวัตถุดิบต้องการคำสั่งซื้อที่ถูกต้องเพื่อจะได้จัดส่งได้ถูกต้อง
- ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง

การประยุกต์ใช้ SCM

     การนำ SCM มาใช้ในการแก้ปัญหาในการผลิตและการจัดการ ซึ่งปัญหาในที่นี้คือปัญหาการเคลื่อนไหลของวัตถุดิบ และการมีสินค้าคงเหลือไว้มากเกินไป ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาคือเงินทุนจม เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสมากขึ้น และโรงงานใช้วิธีการผลิตแบบ batch ที่ไม่ทันสมัย ทางาเดินของวัตถุดิบไม่มีคุณภาพ การจัดการกับวัตถุดิบในสายการผลิตไม่ดีพอ โครงสร้างการจัดองค์กรซับซ้อน มีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันทำได้ลำบาก และส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นได้
     แนวทางในการแก้ปัญหาทั้งหมดคือ การจัดองค์กรระบบกระจายอำนาจ ประกอบด้วยหน่วยต่างๆ หลายๆ หน่วย (Market business units) ซึ่งแต่ละหน่วยนั้นจะมีอำนาจในการจัดการและตอบสนองความต้องการของลูกค้าใน zone ของตนเองได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าได้ตามต้องการ (zone ในที่นี้จะแบ่งเป็น ยุโรป, อเมริกา และ เอเซีย)
     แนวทางต่อไปคือการเคลื่อนไหลของสารสนเทศต้องเป็นไปอย่างราบรื่น มีการแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างหน่วย
supplies และลูกค้าสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันได้ โดยอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกและทันสมัย  สินค้าที่ผลิตขึ้นจะต้องได้มาตรฐานและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี และรวดเร็ว  จากการที่บริษัทนำการจัดการแบบ market business unit มาใช้นี้ ทำให้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกด้วย

ผลประโยชน์ของ Supply Chain Management

     ลดต้นทุนและมีประสิทธิภาพในการลดเวลาการทำงานได้อย่างมาก คนที่ทำธุรกิจด้วยกันก็อยากจะติดต่อกับบุคคลที่คุยกันรู้เรื่องการที่ทำ Supply Chain Management ขึ้นมา ทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคมีความพึงพอใจสูงสุด เพราะสินค้าสามารถไปถึงผู้บริโภคได้อย่าง รวดเร็ว ประโยชน์ของการบริหารห่วงโซ่อุปทาน ดังนี้
1. เสริมสร้างความสามารถในการบริหารและการแข่งขันของสมาชิกในห่วงโซ่อุปทาน
2. ส่งเสริมการเติบโตและความยั่งยืนของธุรกิจ
3. สมาชิกในห่วงโซ่อุปทานปรับระบบการทำงานให้สอดคล้องกัน
4. แบ่งปันข้อมูลที่จำเป็นเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน
5. ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน


Customer Relationship Management: CRM

     CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management หรือเรียกว่า การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีและการใช้บุคลากรอย่างมีหลักการ CRM ได้ถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากจำนวนคู่แข่งของธุรกิจแต่ละประเภทเพิ่มขึ้นสูงมาก การแข่งขันรุนแรงขึ้นในขณะที่จำนวนลูกค้ายังคงเท่าเดิม ธุรกิจจึงต้องพยายามสรรหาวิธีที่จะสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าอันจะนำไปสู่ความจงรักภักดีในที่สุด 

เป้าหมายของ CRM

     เป้าหมายของ CRM นั้นไม่ได้เน้นเพียงแค่การบริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้า จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริการรวมไปถึงนโยบายในด้านการจัดการ ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนา CRM ก็คือ การเปลี่ยนจากผู้บริโภคไปสู่การเป็นลูกค้าตลอดไป

ประโยชน์ของ CRM
           
1. มีรายละเอียดข้อมูลของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้แก่ Customer Profile Customer Behavior
2. วางแผนทางด้านการตลาดและการขายอย่างเหมาะสม
3. ใช้กลยุทธ์ในการตลาด และการขายได้อย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพตรงความต้องการของลูกค้า
4. เพิ่มและรักษาส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ
5. ลดการทำงานที่ซับซ้อน ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน
    ก่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีต่อองค์การ 

ส่วนประกอบของ CRM

1. ระบบการขายอัตโนมัติ ประกอบด้วย
   - ระบบขายโดยผ่านโทรศัพท์ตอบรับ เพื่อให้บริการแบบ Proactive ในลักษณะ Telesale
   - ระบบพาณิชย์อิเลกทรอนิกส์ (E-Commerce) เพื่อทำการขายแบบ Up-Saleing หรือ Cross-Saleing
   - ระบบงานสนามด้านการขาย ได้แก่ Wireless Application สำหรับการขายปลีกและตัวแทนจำหน่ายสามารถเรียกดูข้อมูลลูกค้าได้ทันทีขณะ ติดต่อ จะเพิ่มโอกาสในการขายให้สูงขึ้น

ภาพแสดงความสัมพันธ์ของระบบการค้าอิเล็กทรอนิค E-Commerce
2. ระบบบริการลูกค้า (Call Center) ประกอบด้วย ระบบการให้บริการในด้านโทรศัพท์ตอบรับ (Interactive Voice Response: IVR) ด้านเว็บไซต์ ด้านสนามและข่าวสารต่าง ๆ

ตัวอย่างโปรแกรม Smart Softphone Builtin CRM ของ Telecomth Business CallCenter


3. ระบบการตลาดอัตโนมัติ ประกอบด้วย ระบบย่อยด้านการจัดการด้านรณรงค์ต่าง ๆ ด้านการแข่งขัน ด้านเครื่องมือที่จะช่วยการวิเคราะห์ข้อมูล และวิเคราะห์ธุรกิจ

4. Data Warehouse และเครื่องมือจัดการข้อมูล เป็นระบบสำคัญในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดของ CRM ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากภายในและภายนอกองค์กร ข้อมูลภายในมีที่มาจาก 2 แหล่ง คือ
    1) มาจากระบบงานคอมพิวเตอร์เป็นงาน Routine ที่มาจากระบบ Billing ลูกหนี้ ทะเบียนลูกค้า Call Center และข้อมูลเก่าดั้งเดิมที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบฐานข้อมูล
    2) ข้อมูลภายนอกได้แก่ Web Telephone Directory เป็นต้น

เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

     CRM ให้ความสำคัญต่อลูกค้า โดยจะรวมถึงการปรับปรุงกิจการ ความสม่ำเสมอ ความต่อเนื่อง ความสะดวกในทุกช่องทางการติดต่อ ต้องมีการพิจารณาการทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีผลกับงานติดต่อลูกค้าทั้งในส่วน Front-Office และ Back-Office ในขณะที่จำนวนลูกค้ามีมากขึ้น ข้อมูลลูกจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และขั้นตอนการทำงานสลับซับซ้อนขึ้น ธุรกิจจำเป็นต้องจัดหาเทคโนโลยีด้าน IT ที่เหมาะสมมาสนับสนุน ดังนี้

1. Hardware ประกอบด้วย
   - แบบ Client/Sever หรือ Host-Based
   - Network and Remote Access
   - The Size of the Application
2. Software ประกอบด้วย
   - Client/sever หรือ Host-Based Software
   - Information Management การใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลของโปรแกรม
   - Integration ความสามารถในการเชื่อมโยงกับโปรแกรมหรือระบบอื่นขององค์กร และความยากง่ายในการทำงาน
   - Configurability การปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของระบบสามารถทำได้หรือไม่ระดับใด และใครเป็นผู้ทำ
    
     ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจอยู่ในรูแบบ E-Business CRM จึงมีการพัฒนาเป็น eCRM ซึ่ง
ต้องรวมถึง Internet และ Intranet ในการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานไว้ด้วยกัน Software CRM จะสนับสนุนการทำงาน 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนปฏิบัติงาน (Operatinal) และการวิเคราะห์ (Analytical) ทั้ง 2 ส่วนจะทำงานประสานกัน โดยอาศัยข้อมูลจากมาร์ทข้อมูล (Data Mart) คลังข้อมูล (Data Warehouse) และเหมืองข้อมูล (Data Mining)

ความสำเร็จของCRM ประกอบด้วยปัจจัยดังนี้

1. ผู้บริหารระดับสูงต้องสนับสนุนและให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
2. ตั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการนำมาใช้งานที่สามารถประเมินได้
3. ต้องกำหนด Business Process ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
4. กำหนดลักษณะของตลาดกลุ่มลูกค้า และคู่แข่งขัน
5. ประเมินผลประสิทธิภาพของพนักงาน
6. ประเมินความสามารถขององค์กรว่า จะปรับเปลี่ยนการทำงานในส่วนใดบ้าง
7. ทำการวิเคราะห์และ Reengineer ใน Process ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานให้เหมาะสมได้
8. ให้พนักงานมีส่วนร่วมและรับรู้แผนงาน
9. เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม
10. Implement ในเรื่องที่จะทำให้ธุรกิจก้าวเร็วก่อน
11. หา Solution ที่เหมาะสม
12. ทำ Plan Implementation
13. Implement ร่วมกับบริษัทที่ขายระบบ
14. ทำการ Monitor เพื่อตรวจสอบระบบตลอดเวลา

ข้อผิดพลาดของการ Implement CRM

1. ผู้บริหารระดับสูงไม่สนับสนุนและให้ความร่วมมือ
2. ไม่สามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือ Business Process ขององค์กรให้สอดคล้องกับแผนงาน
3. ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องไม่เข้าใจความหมายของ CRM ต่อองค์กร
4. ในส่วนของการทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่ควรปล่อยให้หน้าที่ของระบบเพียงฝ่ายเดียวที่จะแก้ไขปัญหา ควรวางหลักเกณฑ์ให้ถูกต้องตั้งแต่วันแรกของการใช้งาน มิฉะนั้นจะเกิดความผิดพลาดกระจัดกระจายและสร้างปัญหาตามมาอย่างต่อเนื่อง



Enterprise Resource Planning: ERP

     หมายถึง การบริหารจัดการภายในองค์กร เนื่องจากมีการแข่งขันกันที่สูง องค์กรต่างๆจึงต้องมีการพัฒนากระบวนการและข้อมูลทั้งหมด ในองค์กร เพื่อที่จะได้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยจะมีการนำอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง โดยการผลิตตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะมีการติดต่อระหว่างสายการผลิตไปจนถึงช่องทางจำหน่ายทั้งนี้เพื่อที่จะ ลดขั้นตอนใน Supply Chain จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการการผลิตดังนี้
     •  การพัฒนารูปแบบของการดำเนินงานในโรงงาน
        โดยจะมีการนำเอา e-Manufacturing เข้ามาใช้ในโรงงานนั้นจะช่วยในเรื่องของการผลิตสินค้าเพื่อเก็บไว้ในคงคลัง, จัดมาตรฐานของหน้าบ้าน และการจัดการบำรุงรักษาเครื่องจักร มีประสิทธิภาพขึ้น ดังนี้
- การจัดเก็บสินค้าคงคลังให้ได้คุณภาพสูง
- การจัดการสินทรัพย์, การจัดหาวัตถุดิบ และการบำรุงรักษา
     •  การนำเอาอินเทอร์เน็ตมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
        อินเทอร์เน็ตนั้นได้เข้ามามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ซื้อ สินค้า ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อของได้เพียงปลายนิ้วคลิก และยังสามารถเลือกรูปแบบตามความต้องการได้ นอกจากเป็นเครื่องมือในการซื้อและแหล่งข้อมูลที่สำคัญ แล้วนั้นยังทำให้ธุรกิจนั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วด้วย สำหรับผู้ผลิตแล้วการที่มี e-Business อย่างเดียวนั้นคงจะไม่สามารถทำงานได้ดีหากปราศจากโซ่อุปทานที่เป็นมืออาชีพ และสินค้าที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อที่จะผลิตสินค้าให้เป็นที่พอใจของลูกค้า การที่มีสินค้าเพียงเก็บไว้ในคงคลังนั้นคงไม่พอแล้ว สำหรับตลาดที่มีการแข่งขันสูงในตอนนี้
     •  กลยุทธ์ในการนำความขัดแย้งออกจากวิสาหกิจ
        ลักษณะของกลยุทธ์ทาง e-Manufacturing เป็นอย่างไร ลองดูเรื่องสั้นนี้ที่จะช่วยให้มีความเข้าใจมากขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของลิมิตสวิตช์ (Limit Switch) ซึ่งเป็นเพียงแค่สวิตช์ปิดเปิดธรรมดาที่มีแขนยื่นออกมา ตัวลิมิตสวิตช์ จะอยู่ติดบนสายพาน ในแต่ละครั้งที่วัตถุมาบนสายพาน มันจะผลักตัวแขนออกไปทางหนึ่งซึ่งหมายถึงสวิตช์กำลัง เปิด อยู่ และเมื่อกล่องผ่านไปตัวแทนก็จะตีกลับมาที่เดิม

ประวัติ

     แนวคิด ERP เริ่มในยุคปี ค.ศ. 1990 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จุดกำเนิดเริ่มแรกของ ERP มาจากแนวคิดของการพัฒนาระบบการบริหารการผลิตรวม (Material Requirement Resource Planning / Manufacturing Resource Planning, MRP System) ของอุตสาหกรรมการผลิตในอเมริกา โดยคำว่า ERP และแนวคิดของ ERP นั้นก็พัฒนามาจาก MRP ในที่นี้จะทำการอธิบาย ความเป็นมาของ MRP โดยย่อว่ามีความเป็นมาอย่างไร และทำไมจึงพัฒนามาเป็น ERP ได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าใจความหมายของ ERP ได้ดียิ่งขึ้น และตัวแนวคิด ERP เองก็ยังมีวิวัฒนาการอยู่ จาก ERP ก็จะเป็น Extended ERP และจะพัฒนาไปเป็น Next Generation ERP ต่อไปในอนาคต

     2.1 กำเนิดของ MRP แนวคิดMRPเกิดขึ้นครั้งแรกที่อเมริกาในยุคต้นของ ทศวรรษ 1960 ในช่วงแรก MRP ย่อมาจาก Material Requirement Planning (การวางแผนความต้องการวัสดุ) เป็นวิธีการในการหาชนิดและจำนวนวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตตามตารางเวลาและ จำนวนสินค้าที่ได้วางแผนโดย MPS (Master Production Schedule)
     2.2 Closed Loop MRP ย่างเข้ายุคปี ค.ศ. 1970 MRP ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในการป้อนกลับข้อมูลการผลิตจริงใน shop floor นอกจากนั้นยังเพิ่มแนวคิดเรื่อง การวางแผนความต้องการกำลังการผลิต (capacity requirements planning)
     2.3 การพัฒนาไปสู่ MRP II จากความสำเร็จของ Closed Loop MRP ก็เกิดการพัฒนาต่อยอดขึ้นเป็น MRP II ในยุคปี ค.ศ. 1980 (โดย MRP ใหม่นี้ย่อมาจาก Manufacturing Resource Planning) ซึ่งได้รวมการวางแผนและบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆ นอกจากการวางแผนและควบคุมกำลังการผลิต และวัตถุดิบการผลิต เข้าไปในระบบด้วย
     2.4 จาก MRP II ไปเป็น ERP MRP II เป็นแนวคิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ERP ได้ขยายแนวคิดของ MRP II ให้สามารถใช้ได้ทั้งองค์กรของธุรกิจที่หลากหลาย โดยการรวมระบบงานหลักทุกอย่างในองค์กรเข้ามาเป็นระบบเดียวกัน

คำจำกัดความ

     การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) เป็น การนำระบบงานทุกอย่างในองค์กรมาทำการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและมีการนำ ข้อมูลจากทุกแผนกงานต่างๆนั้นนำมาใช้ร่วมกันเพื่อให้การดำเนินงานมี ประสิทธิภาพมากขึ้น และมีผู้ที่ได้ให้ความหมายหรือคำนิยามเกี่ยวกับการวางแผนทรัพยากร องค์กรไว้ดังต่อไปนี้

     การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) โดย การมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงระบบการดำเนินงานและการพัฒนาบุคลากรขององค์กร เพื่อให้องค์กรมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นการผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจ เทคโนโลยี และบุคลากรเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนิน งาน(ธงชัย สันติวงษ์ , http://www.nationejobs.com/ask/guru_t2_thai.asp?askno=1066)
     วิธีการที่องค์กรนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะนำมาสู่การจัดการที่จะ ให้เกิดมูลค่าสูงสุด (Value Chain) ใน องค์กรโดยจะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในองค์กรทั้งหมด ดังนั้นจึงทำให้หน่วยงานทุกหน่วยงานในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บ อยู่ในฐานข้อมูลอันเดียวกันได้ อาทิเช่น คำสั่งซื้อ (Sales Order) ที่เกิดขึ้นมาหนึ่งคำสั่งจะมีผลต่อหน่วยงานอื่นๆโดยอัตโนมัติอาทิเช่น โรงงาน (Manufacturing) , คลังสั่งซื้อ (Inventory) , จัดซื้อ (Procurement) , อินวอยซ์ (Invoice) , ลงบัญชี (Financial ledger) เป็นต้น (http://www.IeaTth.com/Csgroup)
     ทุกสิ่งทุกอย่างภายในองค์กรที่ทำให้เกิดผลผลิตขององค์กรได้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในสิ่งที่เราทำได้ เช่น การบริการ, การผลิต ที่เราจะเข้าไปแปรสภาพให้ได้มูลค่าเพิ่ม และเราจะจัดการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) นี้อย่างไรนั่นเอง การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) นี้จำเป็นจะต้องเชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้การเชื่อมโยงสามารถนำไปจัดการกระบวนการต่างๆ ได้ เช่น เพื่อซื้อวัตถุดิบเข้ามา, การรับคำสั่งของลูกค้าให้ถูกต้อง, ส่ง มอบสินค้าในเวลาที่ต้องการ ฯลฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะต้องนำคิดเป็นต้นทุน จัดทำเป็นบัญชี โดยการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ เชื่อมโยงกันทั้งองค์กร และเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ และประสานกันเป็นหนึ่งนั่นเอง (ปรีชา พันธุมสินชัย , 2547)
     ระบบสารสนเทศในองค์กรวิสาหกิจที่สามารถบูรณาการ (Integrate) รวมงานหลัก (core business process) ต่างๆในบริษัททั้งหมด ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้าง,การผลิต,การขาย,การบัญชี และการบริหารบุคคล เข้าด้วยกันเป็นระบบที่สัมพันธ์กันและสามารถเชื่อมโยงกันอย่างทันทีทันใด (real time) (อิทธิ ฤทธาภรณ์ และ กฤษดา วิศวธีรานนท์, 2547:7)


ภาพแสดงการนำระบบงานทุกอย่างในองค์กรมาทำการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

รูปแบบ

     ERP (Enterprise Resource Planning) สามารถจัดการ Transaction Cycle ได้หมดดังนี้
     - Expenditure
     - Conversion
     - Revenue
     - Financial
     ERP เป็น Software ที่ใช้ในการ Manage ได้ทั้งองค์กร โดยที่มี common Database เก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ที่เดียวกัน เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของข้อมูล ทำให้มีประสิทธิภาพ มีการ Share ข้อมูลสูงสุด โดยแต่ละส่วนสามารถดึงข้อมูลส่วนกลางที่ตัวเองสนใจมาวิเคราะห์ได้ และ สามารถที่จะ Integrate ได้หมดไม่ว่าจะเป็น Marketing Manufacturing Accounting และ Staffing
     ก่อนที่จะมีระบบ ERP นั้น เดิมในวงการอุตสาหกรรมประมาณช่วงทศวรรษ 1960 ได้มีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนของการผลิตทางด้านการคำนวณ ความต้องการวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หรือที่เรียกเป็นทางการว่าระบบ Material Requirement Planning ( MRP ) ก็คือเราจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบริหารและจัดการในส่วนของวัตถุ ดิบหรือ Material ที่ใช้ในการผลิตเท่านั้น ต่อมาในช่วงประมาณทศวรรษ 1970 ระบบการผลิตในอุตสาหกรรมมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นจึงมีการนำเอาระบบ คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนของการผลิตในด้านของเครื่องจักร ( Machine ) และส่วนของเรื่องการเงิน ( Money ) นอกเหนือไปจากส่วนของวัตถุดิบ ซึ่งเราจะเรียกระบบงานเช่นนี้ว่า Manufacturing Resource Planning ( MRP II )
     จากจุดนี้เราพอจะมองเห็นภาพคร่าวๆ ของการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบริหารงานในอุตสาหกรรมได้ ดังที่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการหลายท่านได้กล่าวไว้ว่า ระบบ MRP นั้นจะเข้ามาช่วยในการจัดการทางด้าน Material ส่วนระบบ MRP II นั้นจะเข้ามาช่วยในการจัดการใน M อีกสองตัวนอกเหนือจาก Material ก็คือ Machine และ Money ซึ่งระบบ MRP II ที่ชื่อ TIMS ของประเทศนิวซีแลนด์ จะมีเมนูหลักของ Module 3 Modules หลักด้วยกันคือ Financial Accounting , Distribution และ Manufacturing และใน Module ของ Manufacturing จะมีส่วนของ MRP รวมอยู่ด้วย
     จะเห็นได้ว่าในการนำเอาระบบ MRP II เข้ามาช่วยในองค์กรหนึ่งๆ นั้น จะยังไม่สามารถซัพพอร์ตการทำงานทั้งหมดในองค์กรได้ นี่จึงเป็นที่มาของระบบ ERP ซึ่งจะรวมเอาส่วนของ M ตัวสุดท้ายก็คือ Manpower เข้าไปไว้ในส่วนของระบบงานที่เรียกตัวเองว่า ERP นั่นเอง ดังนั้นระบบ ERP จึงเป็นระบบที่ใช้ในการบริหารงานทรัพยากรทั้งหมดในองค์กร ( Enterprise Wide ) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบ ERP จะเป็นระบบที่ใช้ในการจัดการ 4 M ซึ่งจะประกอบไปด้วย Material , Machine , Money และ Manpower นั่นเอง ดังนั้นถ้าเราเข้าไปดูที่เมนูหลักของระบบ ERP เราจะพบว่ามีเมนูของทั้ง MRP และ MRP II รวมอยู่ด้วยเพราะ ERP มีต้นกำเนิดมาจากระบบ MRP และ MRP II นั่นเอง
     ERP จะเน้นให้ทำ Business Reengineering เพื่อปรับปรุงระบบให้เข้ากับ ERP ซึ่งจะแบ่ง Function Area เป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ
1. Marketing Sales
2. Production And Materials Management
3. Accounting And Finance
4. Human Resource
     แต่ละส่วนจะมี Business Process อยู่ในนั้น ซึ่งจะมีหลาย Business Activity มาประกอบกัน เช่น activity การออก Invoice เป็น Activity แต่ละ Activity จะไปต่อเนื่องกันหลายๆอันออกไปจนกลายเป็น Process ที่เรียกว่า “Computer Order management” ซึ่งจะไปเกี่ยวข้องกับ Functional Area ที่เรียกว่า “Marketing And Sale” Concept หลักๆของ ERP คือ เอาทุกข้อมูลของแต่ละแผนกมา Integrate กัน เพื่อ Share ข้อมูลกัน

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

ตอบคำถามกรณีศึกษา WAL-MART



1. How is RFID technology related to Wal-Mart's business model? How does it benefit suppliers?

     เทคโนโลยี RFID เกี่ยวพันกับธุรกิจของ Wal-Mart โดยระบบดังกล่าวจะช่วยให้บริษัททราบถึงการเดินทางของสินค้าได้ทุกระยะ ตั้งแต่โรงงานของ Suppliers จนถึงศูนย์กระจายสินค้าของห้าง และเมื่อใดที่สินค้าถูกหยิบออกจากชั้น RFID ก็จะส่งสัญญาณเตือนไปยังพนักงานให้นำสินค้ามาเติมใหม่ ทำให้ Wal-Mart ไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้า แต่สามารถสั่งให้ Suppliers มาส่งของได้ทันที รวมทั้งช่วยประกันว่าสินค้ามีวางจำหน่ายตลอดเวลา และประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ จะช่วยลดปัญหาการโจรกรรมสินค้า และปลอมแปลงสินค้าได้อีกด้วย
     นอกจากนี้ RFID ยังมีประโยชน์ต่อ Suppliers ของ Wal-Mart คือ ทำให้ Suppliers รู้ว่าสินค้าของตนถูกเคลื่อนย้ายจากคลังสินค้าไปยังร้านจำหน่าย และ Wal-Mart เหลือสต็อกสินค้าอยู่เท่าใด ทำให้ Suppliers สามารถส่งสินค้าไปขายยัง Wal-Mart ได้ทันที ทำให้ Wal-Mart ไม่เกิดปัญหาการขาดสต็อก และ Suppliers มียอดขายสินค้าได้มากขึ้น


2. What management, organization, and technology factors explain why Wal-Mart suppliers had trouble implementing RFID systems?

     Suppliers ของ Wal-Mart มีความยากลำบากในการทำให้ระบบ RFID ประสบความสำเร็จมีสาเหตุมาจากเทคโนโลยี RFID ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ต้นทุนยังแพง ธุรกิจ Suppliers รายเล็กที่ขายสินค้าราคาต่ำ จะมีต้นทุน RFID ต่อหน่วยแพงกว่าธุรกิจ Suppliers ที่ขายสินค้าขนาดใหญ่ ราคาสูง


3. What conditions would make adopting RFID more favorable for suppliers?
     
     เงื่อนไขที่ทำให้การพัฒนา RFID เป็นที่ชื่นชอบของ Suppliers ของ Wal-Mart มากขึ้นคือ เมื่อเทคโนโลยี RFID มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง


4. Should Wal-Mart require all its suppliers to use RFID? Why or why not? Explain your answer.
    
     Wal-Mart ต้องการให้ Suppliers ทั้งหมดใช้ RFID เนื่องจากระบบนี้ทำให้การบริหารจัดการเรื่องสต็อกสินค้าได้ดี ลดการขาดแคลนสต็อกสินค้าที่ขายได้มากขึ้น Suppliers จะรู้ข้อมูลการสต็อกสินค้าของ Wal-Mart และส่งสินค้าให้ทันทีเมื่อขาด ส่งผลทำให้ Wal-Mart มียอดขายสินค้ามากขึ้นด้วย

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Exercise 2 : 11/12/2553

เทคโนโลยี Hardware และ Software สำหรับองค์การยุคดิจิตอล


องค์กรดิจิตอล (Digital Firm) คือ องค์กรที่เกือบทุกส่วนขององค์กร โดยเฉพาะในส่วนที่มีการติดต่อกับลูกค้า บริษัทผู้สนับสนุนวัตถุดิบ และพนักงาน เป็นการบริหารจัดการในระบบดิจิตอล กระบวนการหลักทางธุรกิจ สามารถทำให้ประสบผลสำเร็จได้โดยการใช้เครือข่ายดิจิตอล ที่ครอบคลุมกว้างขวางทั่วทั้งองค์กร หรือเชื่อมโยงเข้ากับองค์กรอื่นจำนวนมาก
 
โลกของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันได้นำ ระบบสารสนเทศ ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และระบบเครือข่ายระหว่างประเทศ เข้ามาประสานการทำงานร่วมกันในการสร้างโอกาสการดำเนินธุรกิจแบบใหม่สำหรับองค์กรทุกระดับ ระบบสารสนเทศในธุรกิจแบบใหม่ ช่วยให้องค์กรได้รับข้อมูลข่าวสารอยู่ไกลออกไป ช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ ช่วยปรับโครงสร้างและขั้นตอนการทำงาน และอาจช่วยเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้
ระบบสารสนเทศ (Information System) ในทางด้านเทคนิค หมายถึง กลุ่มของระบบงานที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์หรือตัวอุปกรณ์ และซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผล จัดเก็บและแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและการควบคุมภายในองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยบุคลากรในองค์กรนั้นในการประสานงาน การวิเคราะห์ปัญหา การสร้างแบบจำลองวัตถุที่มีความซับซ้อน และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

ความสำคัญของระบบสารสนเทศ

1. สภาวะแวดล้อมของการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจ เน้นรวดเร็ว ไม่ต้องเข้าพบ เน้นบริการสังคม เป็นพันธมิตรทางการค้า
2. ระบบเศรษฐกิจโลก ค้าขายกันทั่วโลก ติดต่อการค้าได้ตลอดเวลา
3. การเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ ขยายฐานการผลิตไปประเทศที่ค่าแรงต่ำ เน้นอุตสาหกรรม มากกว่า การทำมือ 
4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร การบริหารที่ยืดหยุด ไม่ติดระบบเดิม เน้นผลงานมากกว่า กฎเกณฑ์
5. การเกิดขึ้นขององค์กรดิจิตอล นำเทคโนโลยีมาช่วยการทำงาน


เป้าหมายของระบบสารสนเทศ

1.  เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (Increase Work Efficiency) เช่น หน่วยงานที่มีระบบสารสนเทศที่ดี จะสามารถเพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพของงานได้
2.  เพิ่มผลผลิตให้แก่องค์กร (Increase Productivity)
3.  เพิ่มคุณภาพในการบริการลูกค้า (Increase Customer Service Quality)
4.  สามารถนำสารสนเทศมาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจได้ (Strategic Plan) เช่น การมี IT ที่ดีกว่าคู่แข่งทำให้เราได้เปรียบคู่แข่ง
5. สามารถประเมิน/ คาดเดาสถานการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ (Forecast/ Project)
6. ทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจในการให้บริการ (Increase Customer’s Satisfaction)


บทบาทเบื้องต้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ

เทคโนโลยีสารสนเทศมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามมาตรฐานของธุรกิจ การบริการลูกค้า การปฏิบัติงาน สินค้า และกลยุทธ์ทางการตลาด จะเห็นได้ว่าปัจจุบันคอมพิวเตอร์นั้นสามารถสนับสนุนการใช้งานได้ทั้งที่โต๊ะ ทำงาน ห้างร้าน คลังสินค้า หรือแม้กระทั้งในกระเป๋าเอกสาร เทคโนโลยีสารสนเทศจึงกลายมาเป็นส่วนประจำวันของชีวิตธุรกิจ จากรูปที่ 1 จะแสดงสาเหตุเบื้องต้นสำหรับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในธุรกิจ แบ่งออกเป็น 3 บทบาทสำคัญ คือ
-          สนับสนุนการปฏิบัติงานของธุรกิจ
-          สนับสนุนการบริหารการตัดสินใจ
-          สนับสนุนกลยุทธ์ที่ทำให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
 
รูปที่ 1 บทบาทหลักของระบบสารสนเทศ ซึ่งสนับสนุนการปฏิบัติงานของธุรกิจ การบริหารการตัดสินใจ และกลยุทธ์ที่ทำให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
 

การเพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Increasing Value of IT)

การก้าวเดินอย่างรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจทุกวันนี้ ทำให้ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ที่จะช่วยดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย อันประกอบไปด้วย การประมวลผลระหว่างเครือข่าย การใช้เครือข่ายระหว่างองค์กร การสื่อสารไร้พรหมแดน การยกเครื่องทางธุรกิจ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความเหนือกว่าคู่แข่งขัน นั่นเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมทุกวันนี้ธุรกิจจึงต้องการเทคโนโลยีสารสนเทศ

การใช้คอมพิวเตอร์ระหว่างเครือข่าย (Internetworking of Computing)

การใช้คอมพิวเตอร์ระหว่างเครือข่าย เป็นหนึ่งในทิศทางที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ จากเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสู่เครื่องเมนเฟรมขนาดใหญ่ กลายเป็นระบบเครือข่ายหรือการเชื่อมต่อภายใน อันได้แก่ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเครือข่ายโทรคมนาคมอื่นๆ เครือข่ายนี้กระจายความสามารถให้คอมพิวเตอร์ในการจัดการภายในองค์กรได้ทั้ง หมด โดยทำงานแบบแม่ข่ายลูกข่ายหรือผู้รับบริการผู้ให้บริการหรือไคลเอ้นท์เซิร์ฟ เวอร์ (Client/S erver) ที่เชื่อมต่อเครื่องลูกข่ายของผู้ใช้ (Client) เข้ากับแม่ข่าย (Server) เพื่อการใช้ข้อมูล โปรแกรม และฐานข้อมูลร่วมกัน ในบางระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดกลางหรือเครื่องเมนเฟรมอาจจะมีการทำงานเป็น ซุปเปอร์เซิร์ฟเวอร์ (Superserver)

รูปที่ 2 ระบบคอมพิวเตอร์ในการทำงานแบบแม่ข่ายลูกข่าย
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถให้ผู้ใช้ (End Users) และกลุ่มผู้ใช้ (Workgroups) สื่อสารและร่วมกันทำงาน โดยใช้ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และทรัพยากรร่วมกัน ซึ่งในการเติบโตนั้นอาศัยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต และเครือข่ายอื่นๆ ที่มีการเน้นในส่วนที่สำคัญของแนวความคิด สำหรับการร่วมกันใช้งานของหลายๆ ผู้ใช้ เครือข่ายก็คือคอมพิวเตอร์ (The Network is the Computer)” การประมวลผลเครือข่าย (Network Computing) หรือศูนย์กลางเครือข่าย (Network Centric) เป็นแนวความคิดที่เห็นเครือข่ายเป็นเหมือนศูนย์กลางของทรัพยากรสำหรับ คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งสถาปัตยกรรมนี้จะเป็นการประมวลผลของศตวรรษหน้า

รูปที่ 3 แสดงให้เห็นถึงการทำงานในเครือข่าย คอมพิวเตอร์เครือข่าย (Network Computer) มีบราวเซอร์ (Browser) อยู่ในส่วนของการทำงานของผู้ใช้ สำหรับการปฏิบัติงานที่ใช้โปรแกรมในการทำงานขนาดเล็กจะเรียกว่า แอบเพลท (Applets) เครื่องคอมพิวเตอร์เครือข่าย (Network Computer) ก็คือ เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีไดร์ฟ A: (Floppy Disk) หรือไม่มีฮาร์ดดิสก์
แนวโน้มที่จะลดขนาด (Downsizing) ของระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่โดยการใช้ระบบเครือข่ายแม่ข่ายลูกข่าย เช่น เครือข่ายภายในพื้นที่ (Local Area Networks :LANs) ที่ใช้การต่อเชื่อมด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์และแม่ข่ายแทนการใช้เครื่อง เมนเฟรมขนาดใหญ่กับเครื่องของผู้ใช้หลายๆเครื่อง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนและต้นทุนในการติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่แทนที่ ซอฟต์แวร์เก่าหรือระบบสารสนเทศดั่งเดิมที่ใช้เครื่องเมนเฟรมในการปฏิบัติงาน ที่เรียกว่า ระบบมรดกหรือระบบเก่า (Legacy System) ซึ่งในระบบเครือข่ายแม่ข่ายลูกข่ายจะมีความประหยัดและยืดหยุ่นได้มากกว่า ระบบมรดก

รูปที่ 3 ระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานบนเครือข่าย


เครือข่ายระหว่างองค์กร (The Internetworked Enterprise)

การเปลี่ยนแปลงหลักที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้ผู้บริหาร สถาบันการศึกษา และนักเทคโนโลยีเห็นพ้องต้องกันคือ การเติบโตของอินเทอร์เน็ตที่สัมพันธ์กับเทคโนโลยีและการปฏิบัติงาน ซึ่งส่งผลกับธุรกิจ สังคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ธุรกิจในปัจจุบันกลายเป็นเครือข่ายระหว่างองค์กร โดยใช้อินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายที่ทำงานคล้ายกับการทำงานของอินเทอร์เน็ตภายในบริษัท ( อินทราเน็ต) และยังมีการส่งผ่านระหว่างบริษัทหรือไปยังหุ้นส่วน ( เอ็กซ์ทราเน็ต) รวมถึงเครือข่ายอื่นๆ ด้วย
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรือที่รู้จักกันในชื่อ E-Commerce เป็นการซื้อการขาย การตลาด การบริการสินค้า งานการให้บริการ และข้อมูลสารสนเทศบนเครือข่าย โดยใช้อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต หรือเครือข่ายอื่น ในทุกขั้นตอนของการค้าขาย รวมทั้งสื่อมัลติมีเดียในการโฆษณา ข้อมูลผลิตภัณฑ์สินค้า การช่วยเหลือลูกค้าบน WWW ความปลอดภัยของระบบกลไกการจ่ายเงิน ตัวอย่างของ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การใช้เว็บเพจที่มีสื่อมัลติมิเดียแสดงรายการสินค้าบนอินเทอร์เน็ตมีเอ็กซ์ ทราเน็ตที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงในฐานข้อมูลรายการสินค้า และใช้อินทราเน็ตรวมกันของพนักงานขาย
ระบบการทำงานร่วมกัน (Enterprise Collaboration Systems) จะเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือสำหรับการทำงานเป็นกลุ่ม (Groupware Tools) เพื่อรองรับการสื่อสาร การประสานงาน และการทำงานร่วมกันของสมาชิกในเครือข่าย ตัวอย่างเช่น พนักงานและที่ปรึกษาภายนอกอาจมีการทำงานร่วมกันทางอินทราเน็ต หรือใช้อินเทอร์เน็ตในการส่งอีเมล์ การประชุมทางไกล (Videoconferencing) การสนทนาในกลุ่มโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อมัลติมีเดียบนเว็บเพจ

ยุคโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Globalization and IT)

ในหลายๆ บริษัทอยู่ในขั้นตอนการทำงานของยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) กลายเป็นองค์กรระหว่างเครือข่ายโลก (Internetwork Global Enterprise) ตัวอย่างเช่น การขยายตลาดออกไปทั่วโลกสำหรับสินค้าและบริการ การร่วมเป็นพันธมิตรกับหุ้นส่วนทั่วโลก และการต่อสู้กับคู่แข่งเพื่อลูกค้าจากทุกมุมโลก


การปรับรื้อกระบวนการทางธุรกิจ (Business Process Reengineering: BPR)

   - เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาแทนที่ความพยายามของมนุษย์ มันจะทำงานในขั้นตอนการทำงานอย่างอัตโนมัติ
   - เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มพูนความพยายามให้มนุษย์ มันจะเป็นการให้ข้อมูลกับงานหรือขั้นตอนการทำงาน
   - เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ มันจะทำการปรับเปลี่ยนชุดของงานหรือขั้นตอนการทำงาน
          หลายปีที่ผ่านมา มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในธุรกิจ ทั้งในขั้นตอนการทำงานและสนับสนุนการวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนโครงสร้างขั้นตอนการทำงานใหม่หรือการปรับรื้อกระบวนการทาง ธุรกิจ จะเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือขั้นตอนการพัฒนาสินค้าใหม่ และขั้นตอนการทำงานตามคำสั่งของลูกค้าให้บรรลุเป้าหมาย เป็นต้น

            ไมเคิล แฮมเมอร์ ผู้นำในการปรับเปลี่ยน กล่าวว่า คิดใหม่ ออกแบบใหม่อีกครั้งสำหรับขั้นตอนการทำงานของธุรกิจเพื่อให้ประสบความสำเร็จ เช่น ต้นทุน คุณภาพ การบริการ และความรวดเร็ว

รูปที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถช่วยในการปรับรื้อกระบวนการทางธุรกิจได้อย่างไร

รูปที่ 5 เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยปรับรื้อกระบวนการทางธุรกิจในหลายๆระดับของธุรกิจได้อย่างไร
    
เทคโนโลยีสารสนเทศกับความได้เปรียบคู่แข่งขัน (Competitive Advantage with IT)

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในยุคโลกาภิวัตน์ และการปรับรื้อกระบวนการทางธุรกิจช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ในตลาด เป็นกลยุทธ์ระบบสารสนเทศ (Strategic Information Systems) ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้า บริการ ขั้นตอนการทำงาน และ ความสามารถที่จะช่วยให้ธุรกิจนั้นเหนือกว่าคู่แข่งขัน (Competitive Forces) ในการแข่งขันนั้น สิ่งที่เผชิญไม่ใช่แค่เพียงความแข็งแกร่งของผู้แข่งขันแต่ยังเป็นที่ตัว ลูกค้าและผู้จัดหาสินค้า ความสามารถในการเข้าถึงอุตสาหกรรม และบริษัทที่เสนอตัวแทนสำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการ ซึ่งบทบาทหลักสำหรับการแข่งขันในแต่ละกลยุทธ์ อาจประกอบไปด้วย

กลยุทธ์ด้านต้นทุน (Cost Strategies) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้ต้นทุนในการผลิตต่ำลง ลดต้นทุนสำหรับลูกค้าและผู้จัดหาสินค้า เช่น การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยอุตสาหกรรม (Computer-aided Manufacturing systems) เพื่อลดต้นทุนในการผลิต หรือการสร้างเว็บไซท์สำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีต้นทุนทางการตลาดที่ ต่ำ
กลยุทธ์ด้านความแตกต่าง (Differentiation Strategies) พัฒนาวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้สินค้าหรือบริการมีความแตกต่างจากคู่แข่ง ขัน ดังนั้นลูกค้าของคุณจะได้รับสินค้าหรือบริการที่มีรูปลักษณ์ที่พิเศษหรือได้ รับผลประโยชน์มากกว่า เช่น การเตรียมให้บริการลูกค้าที่รวดเร็วและสมบูรณ์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือใช้ ระบบของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด (Target Marketing Systems) เพื่อนำเสนอลูกค้าแต่ละรายเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่พวกเขาสนใจ
กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม (Innovation Strategies) นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างสินค้าหรือบริการพิเศษเฉพาะ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการทำงานในธุรกิจของคุณ เช่น ลูกค้าสามารถที่จะเข้ามาในเว็บไซท์เพื่อออกแบบหรือเลือกสินค้าและบริการได้ เอง

ตัวอย่างหลากหลายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งขันโดยใช้กลยุทธ์ ดังรูปที่ 6

รูปที่ 6 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งขัน

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Exercise 1 : 14/11/2553

1. ในมุมมองของธุรกิจนั้น การสร้างระบบสารสนเทศควรคำนึงถึงองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง จงอธิบาย

การสร้างระบบสารสนเทศควรคำนึงถึงองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ 5 ข้อ ดังนี้

- บุคคล (People) จำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบสารสนเทศ รวมถึงผู้ใช้งานและผู้เชี่ยวชาญสารสนเทศ
    * ผู้ใช้งาน (End User / User / Clients) เป็นผู้ที่ใช้ระบบหรือผลิตภัณฑ์ของระบบสารสนเทศ ผู้ใช้เหล่านี้อาจเป็นนักบัญชี พนักงานขาย วิศวกร เสมียน ลูกค้า หรือผู้จัดการ เป็นต้น
    * ผู้เชี่ยวชาญสารสนเทศ (IS Specialists) บุคคลที่พัฒนาและควบคุมระบบสารสนเทศ ได้แก่ นักวิเคราะห์ระบบ โปรแกรมเมอร์ ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

- ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ประกอบด้วย อุปกรณ์กายภาพ (Physical Devices) และวัตถุดิบที่ใช้ในการประมวลผลสารสนเทศ ซึ่งนอกจากเครื่องจักร (Machine) เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ แล้ว ยังรวมถึงสื่อข้อมูล (Data Media) ซึ่งเป็นวัตถุที่สามารถบันทึกข้อมูลจากกระดาษลงในจานแม่เหล็กได้ ตัวอย่างฮาร์ดแวร์ของระบบสารสนเทศมีดังนี้
    * ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer Systems) ประกอบ ด้วย หน่วยประมวลผลกลางที่ประกอบด้วยไมโครโปรเซลเซอร์และอุปกรณ์รอบข้างที่หลาก หลายเชื่อมต่อกัน เช่น ระบบไมโครคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ระดับกลาง และระบบคอมพิวเตอร์เมนเฟรม
    * อุปกรณ์คอมพิวเตอร์รอบข้าง (Computer Peripherals) เป็นอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คีย์บอร์ดหรือเมาส์สำหรับการป้อนข้อมูลและออกคำสั่ง จอภาพหรือเครื่องพิมพ์สำหรับแสดงสารสนเทศ จานแม่เหล็กหรือจานนำแสงสำหรับบันทึกข้อมูล

- ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นชุดคำสั่งของการประมวลผลทั้งหมด ทั้งชุดคำสั่งของการปฏิบัติงานที่เรียกว่า โปรแกรม (Programs) ซึ่งควบคุมการทำงานโดยตรงกับคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ และชุดคำสั่งสำหรับการประมวลผลสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ ที่เรียกว่า กระบวนคำสั่ง (Procedures) ได้แก่
    * ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System) ซึ่งควบคุมและสนับสนุนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
    * ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) เป็น โปรแกรมสั่งประมวลผลสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์เฉพาะอย่างโดยผู้ใช้ เช่น โปรแกรมวิเคราะห์การขาย โปรแกรมเงินเดือน โปรแกรมประมวลผลคำ เป็นต้น
    * กระบวนคำสั่ง (Procedure) เป็นคำสั่งปฏิบัติการสำหรับผู้ที่จะใช้ระบบสารสนเทศ เช่น คำสั่งสำหรับการจัดฟอร์มกระดาษ หรือการใช้ซอฟต์แวร์โปรแกรมสำเร็จรูป

- ข้อมูล (Data) เป็นมากกว่าวัตถุดิบของระบบสารสนเทศ เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งขององค์กร ดังนั้นควรมีทรรศนะต่อข้อมูลว่าเป็นทรัพยากรที่ต้องมีการจัดการอย่างมี ประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ในองค์กร ข้อมูลอาจอยู่ในหลายรูปแบบ ทั้งข้อมูลตัวอักขระที่ประกอบด้วยตัวเลขและตัวอักษร ข้อมูลแบบถ้อยความ (Text) ประกอบด้วยประโยคและวรรคตอนที่ใช้ในการเขียนเพื่อสื่อสาร ข้อมูลภาพ (Image) เช่น รูปทรงและเครื่องหมายแบบกราฟิก และข้อมูลเสียงไม่ว่าเสียงพูดหรือเสียงอื่นๆ ข้อมูลของระบบสารสนเทศโดยปกติจะรวบรวมเป็น
    * ฐานข้อมูล (Databases) ที่เก็บข้อมูลที่ประมวลผลและจัดระเบียบแล้ว
    * ฐานความรู้ (Knowledge Bases) ที่เก็บความรู้ในรูปแบบหลากหลาย เช่น ข้อเท็จจริง กฎระเบียบ และกรณีศึกษาตัวอย่างเกี่ยวกับความสำเร็จของธุรกิจ เป็นต้น
          ข้อมูลกับสารสนเทศ คำว่าข้อมูล (Data) เป็นพหูพจน์ของคำว่า Datum แต่ สามารถใช้ได้ทั้งนามเอกพจน์และพหูพจน์ ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงดิบหรือข้อสังเกต โดยปกติจะเกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือรายการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ยานอวกาศลงจอดหรือยอดขายรถยนต์ทำให้เกิดข้อมูลมากมายที่อธิบายถึงเหตุการณ์ ของมัน ถ้าเจาะจงลงไปให้มากกว่านี้อาจกล่าวได้ว่า ข้อมูลจะเป็นสิ่งที่วัดคุณสมบัติของเอนทิตี้ (เช่น คน สถานที่ สิ่งของ และเหตุการณ์)
          ตัวอย่าง การที่ยานอวกาศลงจอดทำให้เกิดข้อมูลเป็นจำนวนมาก ข้อมูลการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากเครื่องรับรู้ (Sensor) จำนวน นับพันถูกแปลงเป็นตัวเลขและข้อมูลแบบถ้อยความโดยคอมพิวเตอร์ เสียงและข้อมูลภาพถูกจับผ่านวีดีทัศน์ และเครื่องเฝ้ารับสัญญาณวิทยุโดยตัวควบคุมการทำงาน เช่นเดียวกับการซื้อตั๋วรถยนต์หรือเครื่องบินทำให้เกิดข้อมูลมากมายด้วย เหมือนกัน ให้ลองนึกถึงคุณสมบัติของรถยนต์และการเช่าซื้อ หรือรายละเอียดของการสำรองที่นั่งสายการบิน
          คนทั่วไปมักเรียกข้อมูล (Data) และสารสนเทศ (Information) สลับกันไปมา อย่างไรตามควรมองข้อมูลเป็นทรัพยากรวัตถุดิบที่ใช้ในการประมวลผลเพื่อสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ สารสนเทศสำเร็จรูป สารสนเทศอาจนิยามได้ว่าเป็น ข้อมูลที่ได้แปลงรูปให้อยู่ในรูปที่อรรถอธิบายความหมายและมีประโยชน์สำหรับ ผู้ใช้ ดังนั้นข้อมูลมักจะขึ้นอยู่กับการประมวลผลคุณค่าเพิ่ม เรียกว่า การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) หรือ การประมวลผลสารสนเทศ (Information Processing) ซึ่ง (1) เป็นการรวมกลุ่ม จัดดำเนินการ และจัดระเบียบ (2) เนื้อหาได้ถูกวิเคราะห์และประเมินผล (3) ถูก จัดวางเป็นอรรถอธิบายที่เหมาะสำหรับการใช้งาน ดังนั้นจึงควรจะมีทรรศนะต่อสารสนเทศว่าเป็น ข้อมูลที่ได้ถูกประมวลผลแล้วซึ่งถูกจัดวางเป็นอรรถอธิบายที่มีค่าต่อผู้ใช้ เฉพาะราย

- เครือข่าย (Network Resources) สื่อสารโทรคมนาคมไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอ็กซ์ทราเน็ต กลายเป็นส่วนสำคัญสำหรับความสำเร็จในการปฏิบัติงานทุกประเภทขององค์กรและ ระบบสารสนเทศ เครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ การประมวลผลสื่อสารและอุปกรณ์อื่นๆที่เชื่อมโยงระหว่างกันด้วยสื่อการติดต่อ สื่อสารและควบคุมด้วยซอฟต์แวร์สื่อสาร แนวความคิดเรื่องเครือข่ายที่เน้นเครือข่ายการติดต่อสื่อฐานเป็นส่วนประกอบ พื้นฐานของทรัพยากรของทุกระบบสารสนเทศ ทรัพยากรเครือข่ายประกอบด้วย
    * สื่อการติดต่อสื่อสาร (Communications Media) ตัวอย่างเช่น สายคู่บิดเกลียว/สายทวิชแพ (Twisted-pair) สายโคแอคเซียล (Coaxial) สายใยแก้วนำแสง/สายไฟเบอร์ออฟติค (Fiber-optic) ระบบไมโครเวฟ และระบบการติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียม
    * การสนับสนุนเครือข่าย (Network Suppo rt) ประกอบ ด้วย บุคลากร ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และข้อมูลที่สนับสนุนการปฏิบัติงานและการใช้งานเครือข่ายสื่อสารโดยตรง ตัวอย่างของหน่วยประมวลผลสื่อสาร เช่น โมเด็ม และหน่วยประมวลผลเชื่อมโยงเครือข่าย และซอฟต์แวร์ควบคุมการสื่อสาร เช่น ระบบปฏิบัติการเครือข่าย และโปรแกรมอินเทอร์เน็ตบราวเซอร์


2. ท่านคิดว่า การเรียนแบบ Virtual Classroom หรื E-learning มีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง

     ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึง การเรียนการสอนที่กระทำผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยง คอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้าไว้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือข่าย (File Server) และคอมพิวเตอร์ผู้ให้บริการเว็บ (Web sever) เป็นการเรียนการสอนที่จะมีการนัดเวลาหรือไม่นัดเวลาก็ได้ และนัดสถานที่ นัดตัวบุคคล เพื่อให้เกิด การเรียนการสอน มีการกำหนดตารางเวลาหรือตารางสอน เข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กันหรือไม่พร้อมกัน มีการใช้สื่อการสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือตอบ โต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้าย chat room) ส่วนผู้สอน สามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนาการประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของ หลักสูตรได้ ทั้งนี้ ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ เวลา (Any Where & Any Time) ของผู้เรียนในชั้นและผู้สอน

ข้อดี
ข้อเสีย
1. เอื้ออำนวยให้กับการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ รวมทั้งบุคคล
2. ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน
3. ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน
4. ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และผู้สอนที่ไม่พร้อมด้านเวลา ระยะทางในการเรียนได้เป็นอย่างดี
5. ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคำถาม ตั้งคำถาม ตั้งประเด็นการเรียนรู้ในห้องเรียน มีความกล้ามากกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้น โดยอาศัยเครื่องมือ เช่น E-Mail, Web board, Chat, Newsgroup แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
1. ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก ปฏิกิริยาที่แท้จริงของผู้เรียนและผู้สอน
2. ไม่สามารถสื่อความรู้สึก อารมณ์ในการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง
3. ผู้เรียน และผู้สอน จะต้องมีความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทั้งด้านอุปกรณ์ ทักษะการใช้งาน
4. ผู้เรียนบางคน ไม่สามารถศึกษาด้วยตนเองได้

 

3. สถาบันการศึกษาได้รับประโยชน์อะไรจากการใช้ระบบ E-Learning

        1. ลดค่าใช้จ่ายของสถาบันการศึกษา เช่น ค่าเอกสารประกอบการบรรยาย, ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
        2. เพิ่มความยืดหยุ่นในด้านเวลา และสถานที่ ทำให้สามารถรับนักศึกษาเข้าเรียนได้ไม่จำกัด
        3. ได้รับการการถ่ายทอดอย่างถูกต้อง และน่าสนใจ
        4. ขยายโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
        5. การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนการได้เรียนรู้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการเรียนในบทเรียน


4. ท่านต้องการเรียนในระบบ E-Learning หรือไม่

         เนื่องจาก e-Learning สามารถเรียน Online ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถจัดทำเป็นชุด CD เพื่อใช้ศึกษาในลักษณะ Offline หรือมีรูปแบบการนำเสนอผ่าน Web โดยมีองค์ประกอบที่น่าสนใจ เช่น ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ตลอดจนวีดิทัศน์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาได้ตามความต้องการ และยังสามารถค้นคว้าหาความรู้อื่นๆ เพิ่มเติมได้ในขณะเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อกับวิทยากรผ่านระบบเมล์ ICQ, Microsoft Messenger และสมุดเยี่ยม ทำให้ผู้เรียนกับวิทยากรสามารถติดต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว การเรียนในระบบ e-Learning จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและต้องการเรียนในระบบนี้